สรุปวิจัย
ชื่อวิจัย ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียน
ชื่อผู้วิจัย สุมาลี หมวดไธสง
ตัวแปรอิสระ กิจกรรมกระบวนทางวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียน
ตัวแปรตาม ความสามารถในการวิเคระห์
การจักกิจกรรมกระบวนการทางวิทยาศานอกห้องเรียน
กระบวนจัดประสบการ์ณในการศึกษาความรู้ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยพานักเรียนไปศึกษานอกห้องเรียนเพื่อศึกษาจากสิ่งแวดล้อมที่อยู่นอกห้องเรียนอย่างมุ่งหมายเพื่อให้เด็กเดิกความรู้จากประสบการณ์ตรงในสภาพที่เป็นจริงซึ่งขั้นตอนการเรียนรู้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยขั้นตอนหลักๆ คือ การตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหา การสร้างสมมุติฐานหรือคาดการร์คำตอบ การออกแบบวิธีการเก็บรวมข้อมูล
1. ขั้นนำเป็นการนำสู่บทเรียน
โดยการสนทนากระตุ้นให้เด็กคิด
2. ขั้นรวบรวมข้อมูล
เป็นกานนำหาวิธีการสอนแบบเล่านิทานแบบอภิปราย แบบสาธิต การเล่นเกม การปฎิบัติทดลองและการศึกษานอกห้องเรียนเข้ามาใช้การรวบรวมข้อมูลเพื่อหาคำตอบ
3. ขั้นสรุป
เป็นการสรุปผลภายหลังจากการเล่านิทาน การอภิปราย การสาธิต การเล่นเกม การปฎิบัติทดลองและการสึกษานอกห้องเรียนโดยเด็กและครูร่วมกันสนทนาเพื่อไปสู่การสรุปผล
Support Unit
▼
Learning substance
▼
Article
▼
Research
▼
วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557
บันทึกอนุทินครั้งที่ 16
วันที่ 3 ธันวาคม 2557
การนำเสนอวิจัย
1. การคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
2. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานที่ได้รับการจัดประสบการรณ์แบบโครงการและแบบสืบเสาะหาความรู้
3. การคิดพิจารณาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์
4. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทางธรมชาติเนื้อสิ่งแวดล้อมของเด็กปฐมวัย
5. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ธรรมชาติที่มีการจัดประสบการณ์ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย
การนำเสนอโทรทัศน์ครู
1.เรียนรู้วิทยาศาสตร์
2. เสียงในการได้ยิน
3. เรื่องราวของเสียง
4. จิตวิทยาศาตร์
5. การทำอย่างไรให้เด็กมีจิตวิทยาศาสตร์ การสร้างบรรยากาศการเรียน
นำไปประยุกต์ใช้
ได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากมายและได้ประสบการณ์ ในการนำไปบูรณาการใช้ในชีวิตประจำวันเป็นการเรียนรู้หล ซที่เพื่อนๆได้ออกมานำเสนอมีประโยชน์การจัดการเรียนการสอนโดยล้วนอาศัยจากทักษะเหล่านี้โดยการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้และอนาคตได้
ประเมิน
ตนเอง ตั้งใจเรียนเวลาที่ครูอธิบายและแต่งกายเรียบร้อย และได้ออกนำเสนอโทรทัศน์คูรก็มีการเตรียมความพร้อมมา
เพื่อน ตั้งใจเรียน ไม่ค่อยคุยกัน ช่วยกันแสดงความคิดเห็นตามที่อาจารย์สอนและแนะนำ ช่วยกันทำกิจกรรมในห้องเรียน นำเสนอวิจัยและโทรทัศน์ครู
อาจารย์ ให้คำแนะนำและบอกเนื้อหาเพิ่มเติมกับการสอนอย่างละเอียดและได้บอกข้อที่บกพร่องเพื่อที่จะนำคำแนะนำของอาจารย์ไปใช้ อาจารย์จะคอยซักถามเพื่อให้นักศึกษาเข้าใจมากขึ้น
วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
บันทึกอนุทินครั้งที่ 15
การกำเนิดของเสียง
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2557
-ได้ฝึกทักษะการคิด การทดลอง การใช้คำถามกับเด็ก เช่น เสียงต่างกันอย่างไร และ มาจากไหน
-กิจกรรมนี้ใช้ได้กับเด็กปฐมวัย จะต้องเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้ง่ายกว่าเดิมเพื่อที่จะเหมาะสมกับเด็ก
ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องสีจากธรรมชาติที่มีต่อทักษะพื้นฐานของเด็กปฐมวัย(งานวิจัย)
- การเรียนรู้เรื่องสี คือสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเด็ก สิ่งที่อยู่ตามธรรมชาติ เช่น ผัก ผลไม้ ดอกไม้
นิยามศัพท์ ได้ทักษะการสังเกต จำแนกประเภท ทักษะการหาความสัมพันธ์ ทักษะการลงความเห็น
สารอาหารในชีวิตประจำวัน
-มโนทัศน์การเรียนรู้ การปรุงอาหารเกิดจากการผสมส่วนประกอบของอาหารต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างถูกต้องตามชื่ออาหารนั้นให้ได้รสที่ต้องการ
ผลลัพธ์การเรียนรู้ ปรุงอาหารเป็น รู้จักรสอาหาร เช่น เค็ม เปรี้ยว หวาน สนุกกับการทำงานร่วมกับเพื่อน
สิ่งที่เด็กต้องปฏิบัติ ช่วยกันวางแผนปรุงอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งที่กลุ่มเลือก และช่วยกันปรุงอาหารนั้น
ไฟฟ้าและพันธุ์พืช
-สอนเรื่องการเจริญเติบโตของพืช โดยใช้สื่อการเรียนรู้ยอกห้องเรียน และให้นักเรียนสังเกตการณ์เจริญเติบโตของพืช จากนั้น ให้เด็กทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่องไฟฟ้าและพันธุ์พืช ซึ่งจากการที่เด็กได้ลงมือทำแล้ว มีสื่อ มีอุปกรณ์ให้เด็กได้ทำการทดลองเด็กก็จะเกิดทักษะกระบวนการทางด้านวิทยาศาสตร์
การเสริมประสบการณ์เรื่องแสงที่มีต่อทักษะการแสวงหาความรู้ของเด็กปฐมวัย (งานวิจัย)
-กิจกรรมส่งให้แสวงหาความรู้เกี่ยวกับทักษะความรู้ ซึ่งแสงได้อยู่รอบๆตัวเรา และนำไปประยุกต์ใช้ในกิจกรรมเสริมประสบการณ์เรื่องของแสง เพื่อพัฒนาและส่งเสริมทักษะของเด็กปฐมวัย
การพัฒนาทักษะพื้นฐานของเด็กปฐมวัย ด้วยกิจกรรมทำเครื่องดื่มสมุนไพร (งานวิจัย)
-ทักษะที่ได้จากการทำกิจกรรม
-ทักษะการสังเกต
-ทักษะการจำแนก
-ทักษะการสื่อความหมายของข้อมูล
สรุปวิจัย
เด็กปฐมวัยมีการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สูงขึ้นเมื่อได้รับการจัดกิจกรรมการทำน้ำสมุนไพร
กิจกรรม
วัสดุอุปกรณ์
1. ไข่ไก่
2. เนย
3. แป้ง
4. น้ำ
5. ถ้วย
6. ช้อน
ขั้นตอนการทำ
เทแป้งลงภาชนะและตอกไข่ ใส่เนย เติมน้ำทีละนิด แล้วตีแป้งและส่วนประกอบอื่นๆให้เข้ากัน จนได้เนื้อแป้งที่ไม่เหลวและแข็งจนเกินไปเมื่อได้แป้งตามที่ต้องการ ตักใส่ถ้วยตวงเพื่อนำไปอบ ขณะเทแป้งลงเครื่องอบ ควรเทตรงกลางเพื่อให้แป้งสามารถกระจายได้ทั่วถึง เมื่ออบเสร็จแล้วจะได้ วาฟเฟิล ที่น่าหน้าตาน่ารับประทาน
นำไปประยุกต์ใช้
สามารถนำวิธีการทำวาพเฟิลไปใช้ในการเรียนสอนสำหรับเด็กปฐมวัยได้ไม่ยากจนเกินไป
ประเมิน
ตนเอง ตั้งใจเรียนเวลาที่ครูอธิบาย
-กิจกรรมนี้ใช้ได้กับเด็กปฐมวัย จะต้องเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้ง่ายกว่าเดิมเพื่อที่จะเหมาะสมกับเด็ก
ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องสีจากธรรมชาติที่มีต่อทักษะพื้นฐานของเด็กปฐมวัย(งานวิจัย)
- การเรียนรู้เรื่องสี คือสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเด็ก สิ่งที่อยู่ตามธรรมชาติ เช่น ผัก ผลไม้ ดอกไม้
นิยามศัพท์ ได้ทักษะการสังเกต จำแนกประเภท ทักษะการหาความสัมพันธ์ ทักษะการลงความเห็น
สารอาหารในชีวิตประจำวัน
-มโนทัศน์การเรียนรู้ การปรุงอาหารเกิดจากการผสมส่วนประกอบของอาหารต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างถูกต้องตามชื่ออาหารนั้นให้ได้รสที่ต้องการ
ผลลัพธ์การเรียนรู้ ปรุงอาหารเป็น รู้จักรสอาหาร เช่น เค็ม เปรี้ยว หวาน สนุกกับการทำงานร่วมกับเพื่อน
สิ่งที่เด็กต้องปฏิบัติ ช่วยกันวางแผนปรุงอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งที่กลุ่มเลือก และช่วยกันปรุงอาหารนั้น
ไฟฟ้าและพันธุ์พืช
-สอนเรื่องการเจริญเติบโตของพืช โดยใช้สื่อการเรียนรู้ยอกห้องเรียน และให้นักเรียนสังเกตการณ์เจริญเติบโตของพืช จากนั้น ให้เด็กทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่องไฟฟ้าและพันธุ์พืช ซึ่งจากการที่เด็กได้ลงมือทำแล้ว มีสื่อ มีอุปกรณ์ให้เด็กได้ทำการทดลองเด็กก็จะเกิดทักษะกระบวนการทางด้านวิทยาศาสตร์
การเสริมประสบการณ์เรื่องแสงที่มีต่อทักษะการแสวงหาความรู้ของเด็กปฐมวัย (งานวิจัย)
-กิจกรรมส่งให้แสวงหาความรู้เกี่ยวกับทักษะความรู้ ซึ่งแสงได้อยู่รอบๆตัวเรา และนำไปประยุกต์ใช้ในกิจกรรมเสริมประสบการณ์เรื่องของแสง เพื่อพัฒนาและส่งเสริมทักษะของเด็กปฐมวัย
การพัฒนาทักษะพื้นฐานของเด็กปฐมวัย ด้วยกิจกรรมทำเครื่องดื่มสมุนไพร (งานวิจัย)
-ทักษะที่ได้จากการทำกิจกรรม
-ทักษะการสังเกต
-ทักษะการจำแนก
-ทักษะการสื่อความหมายของข้อมูล
สรุปวิจัย
เด็กปฐมวัยมีการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สูงขึ้นเมื่อได้รับการจัดกิจกรรมการทำน้ำสมุนไพร
กิจกรรม
วัสดุอุปกรณ์
1. ไข่ไก่
2. เนย
3. แป้ง
4. น้ำ
5. ถ้วย
6. ช้อน
ขั้นตอนการทำ
เทแป้งลงภาชนะและตอกไข่ ใส่เนย เติมน้ำทีละนิด แล้วตีแป้งและส่วนประกอบอื่นๆให้เข้ากัน จนได้เนื้อแป้งที่ไม่เหลวและแข็งจนเกินไปเมื่อได้แป้งตามที่ต้องการ ตักใส่ถ้วยตวงเพื่อนำไปอบ ขณะเทแป้งลงเครื่องอบ ควรเทตรงกลางเพื่อให้แป้งสามารถกระจายได้ทั่วถึง เมื่ออบเสร็จแล้วจะได้ วาฟเฟิล ที่น่าหน้าตาน่ารับประทาน
นำไปประยุกต์ใช้
สามารถนำวิธีการทำวาพเฟิลไปใช้ในการเรียนสอนสำหรับเด็กปฐมวัยได้ไม่ยากจนเกินไป
ประเมิน
ตนเอง ตั้งใจเรียนเวลาที่ครูอธิบาย
แต่งกายเรียบร้อย
มาเรียนตรงต่อเวลา
เพื่อน ตั้งใจเรียน ไม่ค่อยคุยกัน ช่วยกันแสดงความคิดเห็นตามที่อาจารย์สอนและแนะนำ ช่วยกันทำกิจกรรมในห้องเรียน และเพื่อนๆได้นำเสนอวิจัย โทรทัศน์ครู
อาจารย์ ให้คำแนะนำและบอกเนื้อหาเพิ่มเติมกับการสอนอย่างละเอียดและได้บอกข้อที่บกพร่องเพื่อที่จะนำคำแนะนำของอาจารย์ไปใช้
เพื่อน ตั้งใจเรียน ไม่ค่อยคุยกัน ช่วยกันแสดงความคิดเห็นตามที่อาจารย์สอนและแนะนำ ช่วยกันทำกิจกรรมในห้องเรียน และเพื่อนๆได้นำเสนอวิจัย โทรทัศน์ครู
อาจารย์ ให้คำแนะนำและบอกเนื้อหาเพิ่มเติมกับการสอนอย่างละเอียดและได้บอกข้อที่บกพร่องเพื่อที่จะนำคำแนะนำของอาจารย์ไปใช้
วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
บันทึกอนุทินครั้งที่ 14
วันที่ 18 พฤศจิกายน 2557
กิจกรมมนำเสนอโทรทัศน์ครู/และวิจัย
กิจกรรมในห้องเรียน ทาโกยากิ
กิจกรรมในห้องเรียนไข่เทอริยากิ
เป็นกิจกรรมที่แสนง่ายสามารถนำไปใช้สอนเด็กได้เพราะมีขั้นตอนไม่ยุ่งยากวิธีการทำก็แสนง่ายอุปกรณ์ส่วนผสมก็หาได้ทั่วไปแถมยังมีคุณค่าทาง
ส่วนผสม
-ไข่ไก่
-ข้าวสวย
-แครอท
-ต้นหอม
-ปูอัด
-ซอสปรุงรส
-เนย
วิธีการทำ
-ตีไข่ใส่ชาม
-นำส่วนผสมต่างๆใส่ลงไปในไข่ในอัตราส่วนที่พอดี -นำเนยใส่ในหลุมกระทะ
สามารถนำวิธีกานทำทาโกยากิไปใช้ในการเรียนสอนสำหรับเด็กปฐมวัยได้ไม่ยากจนเกินไป
ประเมิน
ตนเอง ตั้งใจเรียนเวลาที่ครูอธิบายและแต่งกายเรียบร้อย
ประเมิน
ตนเอง ตั้งใจเรียนเวลาที่ครูอธิบายและแต่งกายเรียบร้อย
เพื่อน ตั้งใจเรียน ไม่ค่อยคุยกัน ช่วยกันแสดงความคิดเห็นตามที่อาจารย์สอนและแนะนำ ช่วยกันทำกิจกรรมในห้องเรียน
อาจารย์ ให้คำแนะนำและบอกเนื้อหาเพิ่มเติมกับการสอนอย่างละเอียดและได้บอกข้อที่บกพร่องเพื่อที่จะนำคำแนะนำของอาจารย์ไปใช้
อาจารย์ ให้คำแนะนำและบอกเนื้อหาเพิ่มเติมกับการสอนอย่างละเอียดและได้บอกข้อที่บกพร่องเพื่อที่จะนำคำแนะนำของอาจารย์ไปใช้
สรุป โทรทัศน์ครู
อนุบาล 3 เรียนวิทยาศาสตร์สนุก ๆ (ฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์) โรงเรียนอนุบาลภาสินี
วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กอายุ 3– 6 ขวบ มิได้หมายถึงสาระทางชีววิทยา เคมี กลศาสตร์ แต่เนื้อหาวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยคือ สาระเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กที่เด็กควรรู้ การเรียนการสอนมุ่งเพื่อให้เด็กเกิดความเข้าใจมากกว่าที่จะจำเป็นองค์ความรู้ การเรียนวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยแตกต่างจากเด็กวัยอื่นที่เด็กปฐมวัยมีการเจริญของสมองที่รวดเร็วและต้องการการกระตุ้นเพื่อการงอกงามของใยสมองในช่วงปฐมวัย แต่ขณะเดียวกันพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก อายุ 2 –6 ขวบ ยังเป็นช่วงก่อนปฏิบัติการ (pre –operative stage) เด็กเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง (self- centered) และมองสิ่งรอบตัวโดยเน้นที่ตัวของเด็กเอง เด็กจะรับรู้และคิดถ่ายโยงเป็นทิศทางเดียวไม่ซับซ้อน เช่น รู้สี รู้รูปร่าง โดยรู้ทีละอย่าง จะเรียนรู้สองอย่างพร้อมกันไม่ได้ หรือเอามาผนวกกันไม่ได้ ซึ่งการเรียนวิทยาศาสตร์เป็นการเรียนเพื่อฝึกเด็กให้บูรณาการข้อความรู้ต่าง ๆ เข้าด้วยกันโดยให้เด็กรู้จักสังเกต ค้นหา ให้เหตุผล หรือทดลองด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้การเรียนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยจึงต้องเริ่มจากทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ การสังเกต การค้นคว้าหาคำตอบ การให้เหตุผล ตามด้วยการเรียนทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ และความรู้ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กโดยใช้ประสบการณ์จริงและการทดลองปฏิบัติ
การสอนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยเป็นการสอนข้อความรู้ ซึ่งต่างจากการสอนให้รู้ข้อความรู้ตรงที่การสอนข้อความรู้ต้องการความสนใจ การสังเกต การจำ และการเรียกความจำจากความเข้าใจถ่ายโยงได้ ไม่ใช่การท่องจำซึ่งตรงกับการเรียนวิทยาศาสตร์ที่เป็นการเรียนรู้จากการให้คิดและมีเหตุผล เกิดการเข้าใจมโนทัศน์ เชื่อสานข้อมูลประยุกต์ และสรุปเป็นข้อความรู้ได้ด้วยตนเอง ซึ่งในการเรียนวิทยาศาสตร์เด็กต้องพัฒนาทักษะการคิดเพื่อนำไปสู่ข้อสรุปให้ได้ ตัวอย่าง เช่น เด็กเรียนเรื่องเต่ากับหนู โดยการศึกษาเปรียบเทียบ ค้นหาข้อแตกต่างและข้อเหมือน และนำไปสู่ข้อสรุปว่า เต่ามีลักษณะอย่างไร หนูมีลักษณะอย่างไร (Hendrick, 1998 : 42) ดังนั้นการเรียนวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยจึงมิใช่การสอนให้รู้ข้อความรู้ เพราะเด็กไม่สามารถรับความรู้นามธรรมได้ เด็กปฐมวัยต้องเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากประสบการณ์
การเรียนรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กและธรรมชาติเป็นสาระหลักสำหรับเด็กปฐมวัยในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ดร.ดินา สตาเคิล (Dina Stachel) ของมหาวิทยาลัยเทอาวีพ ประเทศอิสราเอล ได้พัฒนาโปรแกรมมาทาลขึ้น เพื่อใช้ในการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย โดยเน้นให้เด็กมีความสนุกกับการเรียน รู้จักสร้างสรรค์และคิดสร้างสรรค์ สาระวิทยาศาสตร์ที่เด็กเรียนจำแนกเป็น 4 หน่วย ดังนี้ (สตาเคิล, 2542 : 12)
หน่วยที่ 1 การสังเกตโลกรอบตัว
หน่วยที่ 2 การรับรู้ทางประสาทสัมผัสและการเรียนรู้
หน่วยที่ 3 รู้ทรงและสิ่งที่เกี่ยวข้อง
หน่วยที่ 4 การจัดหมู่และการจำแนกประเภท
ในการเรียนหน่วยวิทยาศาสตร์ทั้ง 4 หน่วยดังกล่าว เด็กต้องใช้ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ ทักษะการสังเกต การจำแนกประเภท การสื่อความหมายและทักษะการลงความเห็นการเรียนวิทยาศาสตร์ไม่ใช่การเปรียบเทียบมิติเดียวเหมือนอย่างเช่นคณิตศาสตร์ แต่การเรียนวิทยาศาสตร์เป็นการเรียนเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อหาข้อสรุปคำตอบ ซึ่งเด็กสามารถเรียนรู้วิทยาศาสตร์รอบตัวได้ หากครูจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับพัฒนาการเด็ก
การทดลองในแต่ละฐาน
ฐานที่ 1 วงจรไฟฟ้า
ฐานที่ 2 งูเต้นระบำ
ฐานที่ 3 น้ำทรายและน้ำมัน
ฐานที่ 4 หมุดลอยน้ำ
บันทึกอนุทินครั้งที่ 13
วันนี้อาจารย์ให้แต่ละกลุ่มเลือกวันที่จะนำออกมาเสนอให้อาจารย์ดูและเพื่อนๆมานำเสนอแผนการสอนของแต่ล่ะกลุ่มที่ได้เตรียมกันมาแต่ได้นำเสนอแค่ 6กลุ่ม ส่วนอีก 3กลุ่มอาทิตย์นำเสนอให้จบ
กลุ่มที่1 หน่วยผลไม้ใช้แผนวันจันทร์
กลุ่มที่2 หน่วยนกหงส์หยกใช้แผนวันอังคาร
กลุ่มที่3 หน่วยข้าวโพดใช้แผนวันพุธ
กลุ่มที่4 หน่วยแตงโมงใช้แผนวันพฤหัสบดี
กลุ่มที่5 หน่วยกล้วยใช้แผนวันศุกร์
กลุ่มที่6 หน่วยช้างใช้แผนวันจันทร์
กลุ่มที่7 หน่วยผีเสื้อใช้แผนวันอังคาร
กลุ่มที่8 หน่วยสัปปะรดใช้แผนวันพุธ
กลุ่มที่9 หน่วยส้มใช้แผนวันพฤหัสบดี
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2557
วันนี้อาจารย์ให้แต่ละกลุ่มเลือกวันที่จะนำออกมาเสนอให้อาจารย์ดูและเพื่อนๆมานำเสนอแผนการสอนของแต่ล่ะกลุ่มที่ได้เตรียมกันมาแต่ได้นำเสนอแค่ 6กลุ่ม ส่วนอีก 3กลุ่มอาทิตย์นำเสนอให้จบ
กลุ่มที่1 หน่วยผลไม้ใช้แผนวันจันทร์
กลุ่มที่2 หน่วยนกหงส์หยกใช้แผนวันอังคาร
กลุ่มที่3 หน่วยข้าวโพดใช้แผนวันพุธ
กลุ่มที่4 หน่วยแตงโมงใช้แผนวันพฤหัสบดี
กลุ่มที่5 หน่วยกล้วยใช้แผนวันศุกร์
กลุ่มที่6 หน่วยช้างใช้แผนวันจันทร์
กลุ่มที่7 หน่วยผีเสื้อใช้แผนวันอังคาร
กลุ่มที่8 หน่วยสัปปะรดใช้แผนวันพุธ
กลุ่มที่9 หน่วยส้มใช้แผนวันพฤหัสบดี
นำไปประยุกต์ใช้
สามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนให้กับเด็กในการเขียนแผนการสอนสามารถปรังปรุงและแก้ไขให้สมบูรณ์แบบเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการครบทั้ง4ด้าน ทำให้เด็กได้เกิดทักษะทางสติปัญญา และได้นำแนวทางการสอนของเพื่อนนำไปปรับใช้กับเด็กในการสอนในการเขียนแผนการสอนได้ด้วย
ประเมิน
ตนเอง ตั้งใจเรียนเวลาที่ครูอธิบายและแต่งกายเรียบร้อย
เพื่อน ตั้งใจเรียน ไม่ค่อยคุยกัน ช่วยกันแสดงความคิดเห็นตามที่อาจารย์สอนและแนะนำ
อาจารย์ ให้คำแนะนำและบอกเนื้อหาเพิ่มเติมกับการสอนอย่างละเอียดและได้บอกข้อที่บกพร่องเพื่อที่จะนำคำแนะนำของอาจารย์ไปใช้
สามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนให้กับเด็กในการเขียนแผนการสอนสามารถปรังปรุงและแก้ไขให้สมบูรณ์แบบเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการครบทั้ง4ด้าน ทำให้เด็กได้เกิดทักษะทางสติปัญญา และได้นำแนวทางการสอนของเพื่อนนำไปปรับใช้กับเด็กในการสอนในการเขียนแผนการสอนได้ด้วย
ประเมิน
ตนเอง ตั้งใจเรียนเวลาที่ครูอธิบายและแต่งกายเรียบร้อย
เพื่อน ตั้งใจเรียน ไม่ค่อยคุยกัน ช่วยกันแสดงความคิดเห็นตามที่อาจารย์สอนและแนะนำ
อาจารย์ ให้คำแนะนำและบอกเนื้อหาเพิ่มเติมกับการสอนอย่างละเอียดและได้บอกข้อที่บกพร่องเพื่อที่จะนำคำแนะนำของอาจารย์ไปใช้
บันทึกอนุทินครั้งที่ 12
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2557
นี้อาจารย์ให้นั่งตามกลุ่มของตัวเอง และ อธิบายเกี่ยวกับการนำเสนอแผนการสอน ของแต่ล่ะะกลุ่ม
และอธิบายขั้นตอนการเขียนแผนว่ามีอะไรบ้าง
1. สาระการเรียนรู้
2. เนื้อหา Mind map
3. แนวคิด มีทั้งประโยชน์และโทษ
4. ประสบการณ์การสำคัญ
5. บูรณาการรายวิชา
6. Web ทำกิจกรรรม
- กิจกรรมประสบการสำคัญ
- การเคลื่อนไหวและจังหวะ
- ศิลปะสร้างสรรค์
- กิจกรรมเสรี
- เกมกลางแจ้ง
- เกมการศึกษา
7. กรอบพัฒนาการ
8. วัตถุประสงค์
สามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนให้กับเด็กในการเขียนแผนการสอนสามารถปรังปรุงและแก้ไขให้สมบูรณ์แบบเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการครบทั้ง4ด้าน ทำให้เด็กได้เกิดทักษะทางสติปัญญาและการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก
ประเมิน
ตนเอง ตั้งใจเรียนเวลาที่ครูอธิบายและแต่งกายเรียบร้อย
ตนเอง ตั้งใจเรียนเวลาที่ครูอธิบายและแต่งกายเรียบร้อย
เพื่อน ตั้งใจเรียน ไม่ค่อยคุยกัน ช่วยกันแสดงความคิดเห็นตามที่อาจารย์สอนและแนะนำ
อาจารย์ ให้คำแนะนำและบอกเนื้อหาเพิ่มเติมกับกานเขียนแผนการสอนอย่างละเอียด
อาจารย์ ให้คำแนะนำและบอกเนื้อหาเพิ่มเติมกับกานเขียนแผนการสอนอย่างละเอียด
วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
บันทึกอนุทินครั้งที่ 11
นำไปประยุกต์ใช้
สามารถนำการทดลองทั้ง 6 กิจกรรมนี้ไปใช้ในการเรียนการสอนให้กับเด็กได้เรียนรู้และได้ลงมือปฎิบัติด้วยตัวเองจะทำให้เด็กมีการคิดหรือแก้ไขปัญหาในการทดลอง
ประเมิน
ตนเอง ตั้งใจเรียนเวลาที่ครูอธิบายและแต่งกายเรียบร้อยได้ออกไปทดลองกับกิจกรรมทั้ง 6 กิจกรรมนี้
เพื่อน เป็นผู้ฟังที่ดีไม่คุยกันในเวลาเรียนตั้งใจทดลองกันอย่างสนุกสานา
อาจารย์ ให้คำแนะนำและบอกเนื้อหาเพิ่มเติมกับการทดลองของแต่ละกิจกรรม
วันที่ 28 ตุลาคม 2557
กิจกรรมในห้องเรียน การทดลอง
กิจกรรมที่ 1
กิจกรรมที่ 2
กิจกรรมที่ 3
กิจกรรมที่ 4
กิจกรรมที่ 5
กิจกรรมที่ 6
นำไปประยุกต์ใช้
สามารถนำการทดลองทั้ง 6 กิจกรรมนี้ไปใช้ในการเรียนการสอนให้กับเด็กได้เรียนรู้และได้ลงมือปฎิบัติด้วยตัวเองจะทำให้เด็กมีการคิดหรือแก้ไขปัญหาในการทดลอง
ประเมิน
ตนเอง ตั้งใจเรียนเวลาที่ครูอธิบายและแต่งกายเรียบร้อยได้ออกไปทดลองกับกิจกรรมทั้ง 6 กิจกรรมนี้
เพื่อน เป็นผู้ฟังที่ดีไม่คุยกันในเวลาเรียนตั้งใจทดลองกันอย่างสนุกสานา
อาจารย์ ให้คำแนะนำและบอกเนื้อหาเพิ่มเติมกับการทดลองของแต่ละกิจกรรม
บันทึกอนุทินครั้งที่ 10
นำไปประยุกต์ใช้
สามารถนำสื่อการสอนไปใช้ในการเรียนการสอน เป็นสิ่งประดิษฐ์อยู่ไกล้ตัวของเด็กและเด็กก็สามารถทำได้ไม่ยากจนเกินไปเด็กจะได้ทำงานเป็นกลุ่มกับเพื่อนใหญๆได้และเด็กจะสามารถใช้เป็นของเล่นได้อีกด้วยและนำไปใช้ได้กับอนาคต
ประเมิน
วันที่ 21 ตุลาคม 2557
กิจกรรมในห้องเรียน
สามารถนำสื่อการสอนไปใช้ในการเรียนการสอน เป็นสิ่งประดิษฐ์อยู่ไกล้ตัวของเด็กและเด็กก็สามารถทำได้ไม่ยากจนเกินไปเด็กจะได้ทำงานเป็นกลุ่มกับเพื่อนใหญๆได้และเด็กจะสามารถใช้เป็นของเล่นได้อีกด้วยและนำไปใช้ได้กับอนาคต
ประเมิน
ตนเอง ตั้งใจเรียนเวลาที่ครูอธิบายและแต่งกายเรียบร้อยได้ออกไปนำเสนอสิ่งประดิษฐ์ที่ตัวเองนำมา
เพื่อน เป็นผู้ฟังที่ดีไม่คุยกันในเวลาเรียน
เพื่อน เป็นผู้ฟังที่ดีไม่คุยกันในเวลาเรียน
อาจารย์ ให้คำแนะนำและบอกเนื้อหาเพิ่มเติมกับสิ้นงานประดิษฐ์ของนักศึกษา
วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557
บันทึกอนุทินครั้งที่ 9
วันที่ 14 ตุลาคม 2557
ปีนยิงลูกบอล
อุปกรณ์
ขวดพลาสติก 2 ขวด ขนาดเล็ก 1 ใบ ขนาดใหญ่ 1 ใบและล้างให้สะอาด
- หนังยาง 4 เส้น
- มีดคัตเตอร์
- เชือก
- กรรไกร
- ลูกปิงปอง 1 ลูก
ขั้นตอนการทำ
=ใช้มีดคัตเตอร์เจาะรูตรงกลางฝาขวดพลาสติก ทั้ง 2 ฝา
=ใช้มีดคัตเตอร์ และ กรรไกร ตัดขวดพลาสติกใบเล็ก ตรงส่วนต่อระหว่างโค้งหัวขวดกับตัวขวด และตัดขวดพลาสติกใบใหญ่ ตรงก้นขวด
=ใช้มีดคัตเตอร์เจาะรูบนขวดพลาสติก 2 รู ด้านตรงกันข้าม ให้รูห่างจากรอยตัดสัก 5 มม. ของขวดพลาสติกตั้ง 2 ใบ
=ใช้เชือกยาวประมาณ 2 ฟุต ร้อยปลายด้านหนึ่ง ผ่านรูด้านนอกของฝาขวดพลาสติกใบใหญ่ ทะลุเข้าไปในขวดฯ แล้วร้อยผ่านรูด้านนอกของฝาขวดพลาสติกใบเล็ก ผูกปมขนาดใหญ่กว่ารูที่เจาะ เพื่อมิให้เชือกหลุดรอดกลับได้
=ร้อยหนังสติ๊กผ่านรูที่เจาะไว้ข้างขวดใบเล็ก สอดปลายให้ยึดติดกับขวดใบเล็ก แล้วสอดปลายผ่านรูด้านในของขวดใบใหญ่ ทำเหมือนกันเช่นนี้ ทั้ง 2 ด้าน
=ยึดปลายหนังสติ๊กที่ผ่านรูข้างขวดใบใหญ่ โดยใช้เชือกร้อยยึดไว้
วิธีการเล่น
- หาวัสดุน้ำหนักเบามาเป็นกระสุน เช่น ลูกปิงปอง, ดินน้ำมันปั้นก้อนกลม, ก้อนกระดาษ
- วางกระสุนลงในขวดใบเล็ก ใช้มือหนึ่งจับด้านนอกของขวดใบใหญ่ อีกมือหนึ่งดึงเชือกให้รั้งลงมาด้านปากขวด แล้วปล่อยมือ กระสุนจะพุ่งออกไปข้างหน้า
หลักการของวิทยาศาสตร์ คือ เป็นแรงดึงเมื่อเราดึงเชือกไปด้านหลัง จะเกิดการสะสมพลังงานศักย์ในเส้นยางหนังสติ๊ก เมื่อปล่อยมือ พลังงานศักย์ที่สะสมไว้ในเส้นยาง จะเปลี่ยนเป็นพลังงานจลน์ถ่ายให้กับขวดใบเล็กและกระสุน ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เมื่อขวดใบเล็กเคลื่อนที่ผ่านปากขวดใบใหญ่ จะถูกรั้งให้หยุดด้วยหนังสะติ๊ก พลังงานจลน์จะถ่ายเทต่อให้กับกระสุน ส่งผลให้กระสุนวิ่งตรงต่อไปข้างหน้าด้วยความเร็ว
วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557
บันทึกอนุทินครั้งที่6
วันที่ 23 กันยายน 2557
นำเสนอบทความ
คนที่1 นางสาวนภาวรรณ กรุดเงียม เรื่อง สอนเด็กปฐมวัยเรียนวิทยาศาสตร์จากเป็ดและได้เรียนโดยมีเพลงเป็นสื่อกลาง
คนที่2 นางสาวสุธาสินี เรื่อง การเรียนรู้วิทยาศาสตร์นั้นไม่ควรแยกแยะควรพัฒนาเด็กในองค์รวมทั้ง 4ด้านควรเข้าใจคำถามของเด็กๆ
คนที่3 นางสาวฤมล อิสสระ เรื่อง เด็กปฐมวัยอยากรู้อยากเห็นชอบตั้งคำถามว่า ทำไม
คนที่4 นางสาวยุพาดี สนประเสริษฐ์ เรื่อง โลกของเราดำเนินอยู่ได้อย่างไร
นำไปประยุกต์ใช้
สามารถนำบทความทั้ง4เรื่องไปใช้ในการเรียนการสอนสำหรับเด็กปฐมวัยได้เป็นอย่างดี
ประเมิน
ตนเอง ตั้งใจฟังเพื่อนนำเสนอบทความและฟังอาจารย์บรรยาย
เพื่อน ตั้งใจเรียนไม่ไคัยกันสนใจเพื่อนที่ออกไปนำเสนอบทความและช่วยกันตอบคำถามเมื่ออาจารย์ถาม
อาจารย์ จะช่วยเสริมในสิ่งที่นักศึกษายังไม่รู้และค่อยบอกคำแนะนำต่างๆ
วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557
บทความเรื่อง มารู้จักกับสเต็มศึกษาว่าทำไมจึงมีความสำคัญ
โดย ดร.เปกกา เคส
การเรียนรู้ที่บูรณาการ การจัดการศึกษาทางด้านวิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ คณิตศาสตร์ ตั้งแต่ระดับขั้นการศึกษาพื้นฐาน อาชีวศึกษา อุดมศึกษาและรวมทั้งการศึกษาตลอดชีวิต โดยมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้ประชากรรุ่นใหม่ได้มีความรู้และทักษะการเรียนรู้ในทางสร้างสรรค์แบบใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศตวรรษที่ 21 ที่โลกเราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาทักษะในการดำรงชีวิต เพื่อให้เยาวชนไทยก้าวสู่การแข่งขันกับประชากรโลกได้ รวมทั้งเมื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558(คศ.2015) “เสต็มศึกษา”นั้นจะช่วยพลิกโฉมการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นวิชา เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา รวมทั้งวิชาคณิตศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ โดยสเต็มศึกษานั้นเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนวิชาเหล่านี้อยู่แล้ว เพียงแต่เน้นการบูรณาการการเรียนรู้การนำไปใช้และการฝึกการคิดเพื่อแก้ไขปัญหาด้วยกระบวนการใหม่ ๆไม่ใช่การเรียนที่เน้นการท่องจำหรือการเรียนเพื่อนำไปสอบเท่านั้น ซึ่งการเรียนแบบสเต็มศึกษานั้น จะเน้นการลงมือปฏิบัติจริง โดยครูผู้สอนมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะตั้งคำถามให้เด็กสนใจและเรียนรู้ว่าสิ่งที่เรียนในห้องเรียนนั้นเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวในชีวิตประจำวันของเรา การพัฒนาขีดความสามารถของครู องค์ประกอบในการถ่ายทอดความรู้และการกระตุ้นให้นักเรียนแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ งบประมาณที่จะมาดำเนินการโดยการกระทำที่เป็นระบบในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าองค์กรปกครองท้องถิ่น กระทรวงไอซีที มหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมทั้งภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องและชุมชนที่จะต้องให้ความร่วมมือ เพื่อให้การเรียนการสอนแนวใหม่นี้ให้มีประสิทธิภาพและสัมฤทธิผล รวมทั้งการออกแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับนักเรียนได้ ประเทศเกาหลีใต้ ก็เป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับระบบสะเต็ม โดยเริ่มมือสามปีที่ผ่านมาและพยายามปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตรให้บ่อยขึ้นเพื่อตอบสนองเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาแต่ให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์ที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันและการคิดค้นวิทยาศาสตร์สร้างสรรค์เพื่อใช้ในอนาคต โอบามา ก็ได้สนับสนุนนโยบายการศึกษาของระบบสเต็ม โดยการให้องค์กรเอกชนที่ลงทุนโดยไม่หวังผลกำไรมาสนับสนุนผลักดันการศึกษาระบบสเต็มเพื่อเพิ่มคุณภาพนักวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีในอนาคต ซึ่งเกณฑ์ประเมินตัวชี้วัดการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์จากการวัดของหน่วยงาน Tim และ Pissa ได้ดำเนินการอยู่ ในหน่วยงานความร่วมือในระหว่างประเทศรวมทั้งประเทศไทยเราด้วยสำหรับประเทศที่มีการตื่นตัวกับการศึกษาในเรื่องสเต็มกันมากไม่วาจะเป็นประเทศจีน อเมริกา อนเดีย ฯลฯ โดยจากการศึกษาพบว่าในจีนจะผลิตบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสเต็มออกมาประมาณ 3.5 ล้านคน ซึ่งประเทศไทยนั้นยังไม่ตื่นตัวและยกระดับในเรื่องนี้ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก สำหรับคนไทยในอนาคต
วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557
แสงคือ คลื่นชนิดเหมือนกับคลื่นของทะเลมีความยาวของแสงสั้นมากและในขณะเดียวกันและแสงมีความสำคัญมากกับการดำรงชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือสัตว์ พืช ก็ต้องการแสงถ้าเกิดเราอยู่ในที่มืดมันก็จะเกิดแสงสว่างขึ้นมา แล้วเราก็จะเกิดการแสบตาเพราะเราปรับตัวเข้ากับแสงไม่ทัน
ในหลักการสท้อนของแสง เมื่อแสงสะท้อนจากวัตถุจะพุ่งไปทางทิศตรงข้ามกันตลอดเวลาเช่นเดียวกับการส่องกระจอกมักจะกลับข้างกับตัวเราอยู่เสมอ เหมือนกับการที่เราใส่นาฬิกาข้างซ้ายแต่เราสามารถส่องเห็นเป็นกระจอกได้กลายเป็นนาฬิกาข้างขวา
การหักเหของแสง มักจะเกิดขึ้นฉเพราะแสงเดินทางผ่านวัตถุหรือเป็นที่ตัวกลางของแต่ละชนิด เช่น เมื่อแสงเดินผ่านอากาศเข้าสู่กระจอก ที่มีน้ำอยู่ จะมีความหนาแน่นกว่าอากาศ
เงา เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับแสง เกิดขึ้นได้โดยแสง เป็นหลักตามธรรมชาติคือเงาของวัตถุที่จะเดิกขึ้นจากแสงที่เดินทางเป็นเส้นตรงไปเรื่อยๆพื้นด้านหน้าของวัตถุแสงจะส่องไปไม่ถึงเลยไม่มีการสะท้อนที่เดิกขึ้น จึงเกิดเป็นพื้นที่สีดำๆ ก็คือเงา นั้นเอง
บันทึกอนุทินครั้งที่5
วันที่ 16 กันยายน 2557
อาจารย์ให้ฟังเพลงวิทยาศาสตร์แล้วก็ให้บอกชื่อเพลงที่เหมาะ
สมกับเด็กปฐมวัยโดยให้แต่ละคนบอกชื่อเพลงไม่ใ่ห้ซ้ำกันกับเพื่อน
และจากนั้นเพื่อนได้ออกไปนำเสนอบทความหน้าชั้นเรียน
คนที่1 นางสาววินัส ยอดแก้ว เรื่อง หลักสูตรวิทยาศาสตร์
คนที่2 นางสาวเจนจิรา บุตรช่าง เรื่องสอนลูกเรื่องพีช
นำไปประยุกต์ใช้
บทความที่เพื่อนออกไปนำเสนอสามารถไปสอนกับเด็กได้และไปใช้
ในอนาคตข้างหน้า
ประเมิน
ประเมิน
ตนเอง ตั้งใจเรียนเวลาที่ครูอธิบายหรือเพื่อนออกไปนำเสนองาน
เพื่อน เป็นผู้ฟังที่ดีไม่คุยกันในเวลาเรียน
เพื่อน เป็นผู้ฟังที่ดีไม่คุยกันในเวลาเรียน
บันทึกอนุทินครั้งที่1
วันที่ 19 สิงหาคม 2557